วันที่ 12 พฤศจิกายน 2568 เวลา 13.30 น. นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางอาหารเพื่อสัตว์ป่าระหว่าง กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กับบริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) และพิธีรับมอบอาหารส่วนเกิน (Food Surplus) โดยมีนายวีระ ขุนไชยรักษ์ รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช นางศิริพร เดชสิงห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) เป็นผู้แทนลงนาม มีนายภาณุเดช เกิดมะลิ ประธานกรรมการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ร่วมเป็นพยาน มีนายนิพนธ์ จำนงสิริศักดิ์ รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายสุขี บุญสร้าง ผู้อำนวยการสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า ผู้บริหารบริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้าฯ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ สถานีเพาะเลี้ยงนกน้ำบางพระ จังหวัดชลบุรี
ความร่วมมือดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเกิดโรค COVID-19 งบประมาณของภาครัฐถูกนำไปใช้ในการเยียวยาสภาวะดังกล่าว รวมถึงค่าอาหารสัตว์ที่กรมอุทยานฯ ได้รับไม่เพียงพอกับปริมาณสัตว์ป่าที่ดูแลอยู่ บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) จึงมีแนวคิดมอบอาหารส่วนเกิน (Food Waste) จากการจำหน่ายที่ยังคงสามารถรับประทานได้จากห้างแม็คโคร (Makro) ให้แก่หน่วยงานของกรมอุทยานฯ โดยได้ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางอาหารเพื่อสัตว์ป่า (ฉบับที่ 1) ในปี 2565 เป็นการสร้างกระบวนการการมีส่วนร่วมในการจัดการกับปัญหาอาหารส่วนเกินจากภาคธุรกิจไปเป็นอาหารและเสริมสร้างสวัสดิภาพสัตว์ป่าในกรงเลี้ยงที่อยู่ภายใต้การดูแลของกรมอุทยานฯ ซึ่งหน่วยงานที่อยู่ภายใต้บันทึกข้อตกลงฉบับนี้ มีจำนวน รวม 27 แห่ง ประกอบด้วย สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่า 22 แห่ง ศูนย์ช่วยเหลือสัตว์ป่า 4 แห่ง และศูนย์พัฒนาการจัดการสัตว์ป่าบึงฉวาก 1 แห่ง โดยบันทึกข้อตกลงฯ มีระยะเวลา 2 ปี และในปี 2567 ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงฯ (ฉบับที่ 2) อีกเป็นระยะเวลา 2 ปี โดยมีห้างโลตัส (Lotus’s) เข้ามาร่วมสนับสนุนเพิ่มเติม ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานตั้งแต่ปี 2565 จนถึงปัจจุบัน มีหน่วยงานเข้ารับอาหารส่วนเกินเพื่อนำไปให้สัตว์ป่าทั้งสิ้น จำนวน 16 แห่ง เป็นสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่า 13 แห่ง ศูนย์ช่วยเหลือสัตว์ป่า 3 แห่ง รวมอาหารที่รับมาแล้วกว่า 2,310 ตัน สามารถนำไปเป็นอาหารและเสริมสร้างสวัสดิภาพสัตว์ป่า กว่า 1,590 ตัน ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง ในครั้งนี้จึงได้ลงนามฯ ต่อเนื่องเป็นฉบับที่ 3 โดยมีการปรับข้อความในบันทึกข้อตกลงจากอาหารส่วนเกิน หรือ Food Waste เป็น Food Surplus เพื่อให้สอดคล้องกับการใช้ประโยชน์ คือเป็นอาหารส่วนเกินที่ยังสามารถนำมาเป็นอาหารสัตว์ป่าต่อได้
รองนายกฯ สุชาติ กล่าวว่า ความร่วมมือดังกล่าวถือเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญของประเทศไทย ในการขับเคลื่อนการจัดการอาหารส่วนเกินอย่างยั่งยืน เพื่อบรรเทาผลกระทบจากวิกฤตโลกร้อนที่กำลังทวีความรุนแรงมากขึ้น “อาหารส่วนเกิน” หรือ Food Surplus อาจดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กในชีวิตประจำวัน แต่ในความจริงกลับเป็นปัญหาใหญ่ระดับโลกที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของผู้คน รัฐบาลจึงให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการจัดการ โดยได้ประกาศให้ปี 2568 นี้ เป็น “ปีแห่งการเริ่มต้นรณรงค์ลดขยะอาหารของประเทศไทย” เพื่อวางรากฐานสำคัญในการลดปริมาณขยะอาหารลงอย่างน้อยร้อยละ 50 ภายในปี 2573 ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ จึงถือเป็นแบบอย่างของการขับเคลื่อนนโยบายสู่การปฏิบัติจริงในระดับพื้นที่
ทั้งนี้ ในการดำเนินงานที่ผ่านมาพบว่าอุทยานแห่งชาติ จำนวน 118 แห่ง ได้ริเริ่มดำเนินการจัดการขยะอาหารภายในอุทยานแห่งชาติทั่วประเทศอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การคัดแยก การนำกลับมาใช้ประโยชน์ ด้วยแนวทาง 3R คือ Reduce – Reuse – Recycle ไปจนถึงการสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนและประชาชนอย่างจริงจัง โดยการนำอาหารส่วนเกินที่ยังสามารถบริโภคได้มาบริจาคเพื่อเป็นอาหารให้แก่สัตว์ป่าในสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่า และศูนย์ช่วยเหลือสัตว์ป่าทั่วประเทศ รวม 27 แห่ง ซึ่งนับเป็นตัวอย่างของ “เศรษฐกิจหมุนเวียน” ที่เปลี่ยนของเหลือทิ้งให้กลายเป็นทรัพยากร และเป็นการแก้ปัญหาทั้งขยะอาหารและการดูแลสัตว์ป่าไปพร้อมกัน สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของกรมอุทยานฯ ที่ไม่ได้มองปัญหาขยะในมิติของความสะอาดเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงระหว่างการจัดการขยะ การลดก๊าซเรือนกระจก และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย “ประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ” และเป้าหมาย Net Zero Emissions ที่รัฐบาลกำหนดไว้
จึงขอขอบคุณกรมอุทยานฯ ที่ได้ริเริ่มและผลักดันโครงการนี้ด้วยความตั้งใจและวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล รวมถึงขอขอบคุณทุกภาคีเครือข่าย ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ที่ให้ความร่วมมือเพราะการจะบรรลุเป้าหมาย Zero Food Waste ได้นั้น ไม่อาจสำเร็จได้เพียงลำพังของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือ ความรับผิดชอบ และความเข้าใจร่วมกันของทุกภาคส่วนในสังคม เชื่อว่าการลงนามฯ ในวันนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นของ “พลังบวก” ที่จะขยายไปสู่การเปลี่ยนแปลงในวงกว้าง ทั้งในมิติของการจัดการสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของประชาชนไทย ร่วมกันเปลี่ยนขยะให้เป็นคุณค่า เปลี่ยนปัญหาให้เป็นโอกาส และเปลี่ยนแนวคิดให้กลายเป็นการลงมือทำอย่างแท้จริง”

