ภายหลังกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช มีมติเสนอปรับโครงสร้างกองอนุรักษ์ต้นน้ำ สำนักอนุรักษ์และจัดการต้นน้ำ เพื่อให้รองรับภารกิจของหน่วยงานที่เพิ่มขึ้น ตามมาตรา 64 พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และตาม มาตรา 121 พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562
การบ้านข้อใหญ่ และเป็นก้าวใหม่ที่ท้าทายการรักษาพื้นที่ป่าอนุรักษ์ทั่วประเทศ 677 แห่ง กว่า 74 ล้านไร่ ไม่ให้ถูกบุกรุกเพิ่ม ด้วยการดึงชาวบ้านที่อยู่ในป่า 4,042 หมู่บ้านมาเป็นแนวร่วมภายใต้ “การพัฒนาชุมชนในพื้นที่ป่าอนุรักษ์” โดยเริ่มต้นก้าวแรกเมื่อ 1 ตุลาคม ที่ผ่านมา
“เป็นครั้งแรกที่จะให้สิทธิคนอยู่กับป่าและทำกินอย่างถูกกฎหมาย กำหนดพื้นที่ไม่เกิน 20 ไร่ต่อราย โดยมีกฎหมาย 2 ฉบับรองรับตามมาตรา 64 และมาตรา 121 จากเดิมที่คนกลุ่มนี้เป็นผู้บุกรุก”
นายสมบูรณ์ ธีรบัณฑิตกุล ผู้อำนวยการสำนักอนุรักษ์และจัดการต้นน้ำ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช บอกคำนิยาม ก่อนหน้านี้ ผลการสำรวจการครอบครองที่ดินในเขตป่าอนุรักษ์ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) 30 มิถุนายน 2541 ปรากฏว่ามีชุมชน 4,042 หมู่บ้าน รวมพื้นที่ 4.257 ล้านไร่ ในป่าอนุรักษ์ 224 แห่ง
ไทม์ไลน์การทำงานช่วง 6 เดือนถึง 1 ปี ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 หน่วยพัฒนาชุมชนในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ที่มีอยู่เดิม 300 แห่งต้องเข้าหาชุมชนในป่าให้มีส่วนร่วมในการจัดที่ดินทำกินพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
เป้าหมายคือเข้าไปสำรวจความต้องการด้านอาชีพ ระบบน้ำ และการปลูกพืชเศรษฐกิจแทนพืชเชิงเดี่ยวไปสู่การทำเกษตรแบบยั่งยืน เช่น การทำนาขั้นบันไดเพื่อลดการชะล้างพังทลายของดิน และส่งเสริมการปลูกไม้ผลไม้ยืนต้น เช่น เงาะ ทุเรียน ลองกอง แทนพืชหลักเดิม
ผู้อำนวยการสำนักอนุรักษ์และจัดการต้นน้ำ กล่าวว่า หลักการนี้ต้องอยู่บนพื้นฐานของการได้สิทธิ์ แต่ไม่ใช่กรรมสิทธิ์ที่ดินในป่า จึงอาจจะทำให้มีข้อจำกัดเรื่องการยอมรับของบางชุมชน เพราะแม้จะมีกฎหมายรองรับก็ตาม นอกจากนี้ ยังเป็นคนละหลักการของป่าชุมชนของกรมป่าไม้ ที่จะบริหารโดยคณะกรรมการป่าชุมชน และไม่สามารถนำที่ดินทำกินไปพัฒนาในรูปแบบอื่น ๆ
จากการสำรวจที่ดินตามมติ ครม. 30 มิถุนายน 2541 ที่เคยให้แจ้งพิสูจน์สิทธิจนถึงปี 2557 ก็ยังเชื่อว่าจะมีการเปลี่ยนมือหรือการนำพื้นที่ไปหาผลประโยชน์เชิงพาณิชย์ แน่นอนว่าในการสำรวจรอบนี้ จะต้องประเมินตัวเลขการครอบครองที่ดินอย่างละเอียด จึงยังบอกไม่ได้ว่า 4.257 ล้านไร่จะนิ่งหรือไม่
“แม้จะมีกฎหมายรองรับสิทธิทำกิน แต่ยอมรับว่าอาจจะห้ามคนบุกรุกป่าไม่ได้ ภารกิจสำคัญจึงเป็นการหยุดการบุกรุกป่าเพิ่ม ต้องบล็อกเป้าหมายว่าตัวเลขพื้นที่ 4.257 ล้านไร่ จะเป็นตัวเลขสุดท้าย หรือทำให้การบุกรุกเกิดน้อยที่สุด”
ภารกิจนี้ เป็นโจทย์หินและงานใหม่ที่ท้าทายของกรมอุทยานแห่งชาติฯ ถ้าหากไม่เริ่มต้นก็หยุดการบุกรุกไม่จบ ดังนั้น การเปลี่ยนสถานะของชาวบ้านในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยแลกเปลี่ยนกับการที่ชาวบ้านจะต้องหยุดการบุกรุก และเปลี่ยนวิธีการทำกินไปสู่รูปแบบที่ยั่งยืน ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะทำให้ชาวบ้านกลายเป็นแนวหน้าในการดูแลรักษาป่าต่อไป
นับถอยหลังอีก 1 ปีใครบ้างจะได้สิทธิทำกินและอาศัยในเขตป่าอนุรักษ์ตาม มาตรา 64 พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และตามมาตรา 121 พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562
