• ส่วนประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ • สำนักบริหารงานกลาง กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

กรมอุทยานฯ ร่วม 2 มหาวิทยาลัยชั้นนำ เริ่มต้นโครงการวิจัย 3 ปี สำรวจพืชสกุลเฉาก๊วยพื้นเมือง มุ่งสร้างทางเลือกใหม่ทดแทนการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ พร้อมสร้างอาชีพให้ชุมชนอย่างยั่งยืนภายใต้โมเดล BCG

ทีมนักวิจัยจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ร่วมกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้เริ่มดำเนินการวิจัยภายใต้ “โครงการพัฒนาศักยภาพการผลิตวุ้นเฉาก๊วยและการปลูกพืชสกุลเฉาก๊วย (Platostoma spp.) ที่พบในประเทศไทย” ในปีแรกของแผนงานระยะยาว 3 ปี ด้วยทุนสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ภายใต้แผนงานวิจัยการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG Model

แม้ตลาดผลิตภัณฑ์เฉาก๊วยในประเทศไทยจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ประเทศไทยยังต้องพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบต้นเฉาก๊วยแห้งจากต่างประเทศ อาทิ จีน ไต้หวัด เวียดนาม และอินโดนีเซีย มากกว่า 400-500 ตันแห้งต่อปี คิดเป็นมูลค่า 48-80 ล้านบาทต่อปี ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการผลิตและการขนส่งสูงขึ้น

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไทยยังไม่สามารถผลิตเฉาก๊วยได้เพียงพอต่อความต้องการ ได้แก่ สภาพภูมิประเทศที่ไม่เหมาะสมต่อการเพาะปลูก กระบวนการขยายพันธุ์ที่ยังไม่ประสบความสำเร็จ และคุณภาพของผลผลิตที่ยังต่ำกว่าชนิดที่นำเข้า

ทีมวิจัยจากสำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กลุ่มงานพฤกษศาสตร์ป่าไม้ ร่วมกับคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาขาวิชาเทคโนโลยีชีวภาพ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และภาควิชาพัฒนาผลิตภัณฑ์ คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ออกสำรวจและเก็บข้อมูลพรรณไม้ในสกุลเฉาก๊วยที่เป็นพืชพื้นเมืองของไทย โดยพบว่า ประเทศไทยมีพืชในสกุล Platostoma P. Beauv. มากกว่า 23 ชนิด แต่ยังไม่เคยมีการศึกษาอย่างเป็นระบบว่าชนิดใดมีศักยภาพเป็นพืชทดแทนการนำเข้า

การวิจัยในครั้งนี้ครอบคลุมหลายมิติ ตั้งแต่การศึกษาข้อมูลทางพฤกษศาสตร์ นิเวศวิทยา และเขตการกระจายพันธุ์ของพืชพื้นเมือง การวิเคราะห์กลุ่มสารสำคัญทางพฤกษเคมีและสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ การคัดเลือกชนิดที่เหมาะสมต่อการปลูกและขยายพันธุ์เชิงพาณิชย์ ตลอดจนการรวบรวมพันธุกรรมพืชไว้ในพื้นที่อนุรักษ์นอกถิ่นกำเนิด และการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์วุ้นเฉาก๊วยในด้านเคมีกายภาพ คุณภาพทางประสาทสัมผัส และการยอมรับของผู้บริโภค

โครงการวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยด้วยโมเดล BCG (Bio-Circular-Green Economy Model) ซึ่งเป็นแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจที่บูรณาการ 3 มิติสำคัญเข้าด้วยกัน

1. เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) : โครงการนี้มุ่งใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพของพืชสกุลเฉาก๊วยพื้นเมืองไทยกว่า 23 ชนิด ซึ่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีศักยภาพสูง นำมาพัฒนาเป็นวัตถุดิบทางการเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร รวมถึงการค้นหาสารสำคัญทางพฤกษเคมีที่อาจนำไปใช้ประโยชน์ในวงการแพทย์และเภสัชกรรม การใช้ทรัพยากรชีวภาพอย่างชาญฉลาดนี้จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มและลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ

2. เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) : การวิจัยครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ตั้งแต่การอนุรักษ์พันธุกรรมพืช การพัฒนาเทคนิคการเพาะปลูกและขยายพันธุ์ การผลิตวัตถุดิบ ไปจนถึงการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์วุ้นเฉาก๊วยที่มีคุณภาพ ซึ่งเป็นการสร้างห่วงโซ่มูลค่าที่สมบูรณ์และใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า นอกจากนี้ ยังเน้นการแบ่งปันผลประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพกลับสู่ชุมชนท้องถิ่นอย่างเป็นธรรม

3. เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) : โครงการให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพผ่านการรวบรวมพันธุกรรมพืชไว้ในพื้นที่อนุรักษ์นอกถิ่นกำเนิด การส่งเสริมการปลูกพืชพื้นเมืองแทนการนำเข้า ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการขนส่ง และการพัฒนาระบบการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจและการรักษาระบบนิเวศ

โครงการวิจัยนี้มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อหลายภาคส่วน ทั้งในมิติเศรษฐกิจที่มุ่งลดการนำเข้าวัตถุดิบและสร้างอุตสาหกรรมใหม่ มิติสังคมที่เน้นการสร้างอาชีพและกระจายรายได้สู่ชุมชน ลดความเหลื่อมล้ำ และมิติสิ่งแวดล้อมที่ให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ทรัพยากรชีวภาพอย่างยั่งยืน

นอกจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์วุ้นเฉาก๊วยเพื่อตลาดอาหารแล้ว การค้นพบสารสำคัญทางพฤกษเคมีจากพืชพื้นเมือง ยังอาจเปิดโอกาสในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ในวงการเภสัชกรรม เครื่องสำอาง และอุตสาหกรรมสุขภาพ ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทรัพยากรชีวภาพของไทยได้อย่างมหาศาล

ปีนี้เป็นเพียงก้าวแรกของการวิจัยระยะยาว ซึ่งคาดว่าจะนำไปสู่การสร้างความมั่นคงทางอาหาร การพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปใหม่ การสร้างรายได้ให้ชุมชน และการอนุรักษ์ทรัพยากรชีวภาพของชาติอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาประเทศด้วยโมเดล BCG ที่มุ่งสู่อนาคตที่สมดุล มั่นคง และยั่งยืนในทุกมิติ.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด