น่านน้ำอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทองคึกคักด้วยการปรากฏตัวของสัตว์ทะเลหายาก หลังทีมนักวิจัยพบฝูงวาฬบรูด้าไม่ต่ำกว่า 7 ตัว และโลมาหลังโหนก 3 ตัว แสดงพฤติกรรมการหากินอย่างน่าตื่นตาตื่นใจในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
เจ้าหน้าที่ศูนย์ศึกษาและวิจัยอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ 5 นครศรีธรรมราช ร่วมกับอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง ได้ดำเนินการสำรวจระหว่างวันที่ 11-14 กุมภาพันธ์ 2567 โดยใช้เทคโนโลยีทันสมัยทั้งการบินสำรวจด้วยโดรนและวิธี line intersect เพื่อเก็บข้อมูลอย่างละเอียด
ปรากฎการณ์สำคัญของการสำรวจครั้งนี้คือการพบวาฬบรูด้าแสดงพฤติกรรมการล่าเหยื่อแบบ Bubble-net feeding ซึ่งเป็นเทคนิคที่น่าทึ่ง โดยวาฬจะปล่อยฟองอากาศเพื่อล้อมฝูงปลาให้รวมตัวกัน และใช้วิธี Tail-slapping ตีน้ำด้วยหางเพื่อทำให้เหยื่อมึนงง ภาพที่พบส่วนใหญ่เป็นวาฬที่หากินเป็นคู่ มีเพียงตัวเดียวเท่านั้นที่แยกตัวออกมาหากินตามลำพัง
นอกจากนี้ ยังพบโลมาหลังโหนก 3 ตัว บริเวณอ่าวทองหลาง เกาะวัวตาหลับ กำลังแสดงพฤติกรรมกาเกาะวัวตาหลับรหาอาหารและดูแลลูก โดยไม่พบบาดแผลจากเครื่องมือประมง ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีถึงความปลอดภัยของสัตว์ทะเลในพื้นที่
ปรากฏการณ์พิเศษที่น่าสนใจคือการพบน้ำทะเลเป็นทางสีเขียว ซึ่งเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่าเกิดจากน้ำจืดจากปากแม่น้ำที่ไหลลงสู่ทะเล นำพาธาตุอาหารและแพลงก์ตอนจำนวนมาก กลายเป็นแหล่งอาหารอุดมสมบูรณ์ที่ดึงดูดปลาขนาดเล็กและวาฬบรูด้าเข้ามาหากิน
จุดที่พบสัตว์ทะเลหายากอยู่ห่างจากหมู่เกาะประมาณ 100 เมตร ถึง 1.5 กิโลเมตร และห่างจากชายฝั่งประมาณ 33-44 กิโลเมตร ทีมสำรวจได้เก็บภาพถ่ายไว้เพื่อการศึกษาวิจัยต่อไป โดยจะนำไปวิเคราะห์อัตลักษณ์เพื่อระบุรายชื่อและจำนวนประชากรของสัตว์ทะเลหายากเหล่านี้ในอนาคต
การพบสัตว์ทะเลหายากครั้งนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศทางทะเลในพื้นที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทองเท่านั้น แต่ยังเป็นความหวังในการอนุรักษ์และการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนระหว่างมนุษย์และสัตว์ทะเลหายากเหล่านี้อีกด้วย
ทั้งนี้ หากพบวาฬหรือโลมา เพื่อความปลอดภัยของทั้งนักท่องเที่ยวและสัตว์ทะเล ศูนย์ศึกษาและวิจัยอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ 5 นครศรีธรรมราช ได้แนะนำว่าควรรักษาระยะห่างและความเร็วเรือรัศมี 400 เมตรความเร็วไม่เกิน 7 น็อต ห้ามเปลี่ยนความเร็วหรือทิศทางกะทันหัน ห้ามส่งเสียงดังรบกวน ห้ามให้อาหาร
และห้ามว่ายน้ำหรือดำน้ำเล่นกับวาฬและโลมา การปฏิบัติตามแนวทางเหล่านี้จะช่วยให้การท่องเที่ยวชมวาฬและโลมาเป็นไปอย่างปลอดภัยและยั่งยืน.