ในผืนน้ำสีครามของอุทยานแห่งชาติหาดขนอม-หมู่เกาะทะเลใต้ มีเรื่องราวน่าประทับใจของเหล่าโลมาหลังโหนกที่อาศัยอยู่อย่างมีความสุข โดยเฉพาะ “” หรือโลมาหลังโหนกรหัส ID 003 ที่สร้างความประหลาดใจให้กับนักวิจัยด้วยการปรากฏตัวทั้งในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทองและอุทยานแห่งชาติหาดขนอม-หมู่เกาะทะเลใต้
การค้นพบครั้งสำคัญนี้เกิดจากการศึกษาครั้งแรกที่มีการเชื่อมโยงข้อมูลประชากรโลมาระหว่างสองอุทยานฯ ทำให้เราได้เห็นภาพที่น่าทึ่งของการเดินทางของเจ้าครีบแหว่งและครอบครัวอีก 14 ตัว ที่สามารถว่ายน้ำข้ามระยะทางไกลเพื่อหาอาหารและสำรวจถิ่นที่อยู่ใหม่ๆ
จากการติดตาม 10 ปี (2556-2566) โดยศูนย์ศึกษาและวิจัยอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ 5 นครศรีธรรมราช ได้เผยให้เห็นวิถีชีวิตอันน่าทึ่งของโลมากลุ่มนี้ พวกเขาว่ายน้ำเป็นครอบครัว หาอาหารร่วมกัน และที่น่ายินดีที่สุดคือการพบลูกโลมาแรกเกิดในปี 2564 และ 2565 สัญญาณบ่งชี้ถึงความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศทางทะเล
ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติหาดขนอม โดยเฉพาะบริเวณเกาะท่าไร่และอ่าวท้องคว่ำ มักพบโลมาว่ายน้ำเป็นคู่หรือรวมกันเป็นกลุ่ม 3-4 ตัว การค้นพบนี้ไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมทางสังคมของโลมา แต่ยังช่วยให้เราเข้าใจเส้นทางการอพยพและการใช้พื้นที่ของพวกเขา
การศึกษาผ่าน Photo ID – เทคนิคการถ่ายภาพที่ช่วยระบุตัวตนของโลมาแต่ละตัว ทำให้นักวิจัยสามารถติดตามการเคลื่อนที่ระหว่างสองอุทยานฯ ข้อมูลนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการวางแผนอนุรักษ์และการจัดการพื้นที่คุ้มครองทางทะเลในอนาคต
เพื่อปกป้องเจ้าครีบแหว่งและครอบครัว อุทยานฯ ได้กำหนดมาตรการสำคัญโดยวางกฎระเบียบการชมโลมาที่คำนึงถึงความปลอดภัย สร้างความรู้ความเข้าใจแก่ชุมชนและผู้ประกอบการท่องเที่ยว พร้อมกำหนดให้ดับเครื่องเรือขณะเข้าชมโลมาโดยยังมีการดำเนินการศึกษาและติดตามประชากรโลมาอย่างต่อเนื่องและประสานความร่วมมือระหว่างอุทยานฯ และชุมชนเพื่อการอนุรักษ์อย่างมีประสิทธิภาพการค้นพบครั้งนี้ไม่เพียงแต่เผยให้เห็นความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ แต่ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการอนุรักษ์พื้นที่ทางทะเลที่เชื่อมต่อกัน เพื่อให้เจ้าครีบแหว่งและครอบครัวได้ท่องเที่ยวไปในผืนน้ำสีครามอย่างอิสระและปลอดภัย 💙
สนใจเรียนรู้เพิ่มเติม สามารถดาวน์โหลดรายงานฉบับเต็ม “การสำรวจ ติดตาม และประเมินสถานภาพโลมา ปี 2567” (ฉบับสมบูรณ์) เพื่อศึกษาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการอนุรักษ์โลมาในประเทศไทย ได้ที่ลิงก์ https://get-qr.com/b1OVlL
ที่มา : ศูนย์ศึกษาและวิจัยอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ 5 (นครศรีธรรมราช)