วันที่ 18 มิถุนายน 2568 – นายวีระ ขุนไชยรักษ์ รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นตัวแทนลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) สำคัญเมื่อเวลา 09.00 น. เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมกาแฟไทยสู่ความยั่งยืนอย่างครบวงจร
การลงนาม MOU ครั้งนี้รวบรวมพลังจากทุกภาคส่วน ประกอบด้วย หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สมาคม มูลนิธิ สสาบันการศึกษา องค์กรเกษตรกร และหน่วยงานภาคี เข้าร่วมเป็นเครือข่ายเดียวกัน โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการส่งเสริมการพัฒนากาแฟตลอดห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน ทุกฝ่ายได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการขับเคลื่อนกาแฟไทยสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน โดยมุ่งเน้นให้เกิดกลไกสนับสนุนทางการผลิต การจำหน่าย การพัฒนาการตลาด และบริหารจัดการห่วงโซ่คุณค่าที่โปร่งใส ตรวจสอบย้อนกลับได้และเป็นธรรม
MOU ฉบับนี้วางเป้าหมายปฏิวัติกาแฟไทยครบ 360 องศา ด้วย 9 วัตถุประสงค์ มุ่งเน้นส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาครบวงจร ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง นำเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดมาใช้ในทุกขั้นตอน เปิดโอกาสให้เกษตรกรและผู้ประกอบการได้เรียนรู้เทคโนโลยี มาตรฐานการรับรอง และนวัตกรรมการผลิตกาแฟคุณภาพระดับสากล ยกระดับห่วงโซ่อุปทาน สร้างมูลค่าเพิ่มให้กาแฟไทยพร้อมเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตอบโจทย์เทรนด์โลกที่ใส่ใจธรรมชาติ ปฏิวัติระบบซื้อขายให้เกษตรกรได้รับผลตอบแทนที่เป็นธรรม ตามคุณภาพและปริมาณที่แท้จริง ยกระดับการค้าไทยสู่มาตรฐานสากล สร้างโอกาสแข่งขันที่เท่าเทียมในตลาดโลก ผลิตภัณฑ์กาแฟไทยจะมีมูลค่าสูงขึ้น ด้วยการพัฒนาผลิตภาพและนวัตกรรมใหม่ล่าสุด สร้างความเข้าใจร่วมกันแบบบูรณาการ ตั้งแต่ระดับนโยบายถึงชุมชนฐานราก ระบบสัญญาเกษตรโปร่งใส ตรวจสอบได้ ช่วยให้เกษตรกรวางแผนการผลิตได้อย่างมั่นใจ โดยดำเนินการทุกอย่างภายใต้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด
ความร่วมมือจะครอบคลุม 8 ขอบเขตหลัก ตั้งแต่การส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีตลอดห่วงโซ่อุปทานกาแฟ การถ่ายทอดองค์ความรู้และนวัตกรรมการผลิตสู่เกษตรกรและผู้ประกอบการ จนถึงการพัฒนาระบบติดตามผลผลิตและตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล
นอกจากนี้ยังรวมถึงการสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์กาแฟให้มีมูลค่าสูงและเป็นที่ยอมรับในตลาดทั้งในและต่างประเทศ การพัฒนาการทำสัญญาการตลาดที่เป็นธรรม และการส่งเสริมระบบการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและการผลิตที่ยั่งยืนในพื้นที่ปลูกกาแฟ
บันทึกความเข้าใจฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้เป็นระยะเวลา 5 ปี ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมกาแฟไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน สร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการตลอดห่วงโซ่อุปทาน และช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์กาแฟไทยในเวทีโลก.