วันที่ 23 ตุลาคม 2568 นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เป็นประธานการประชุมติดตามการเตรียมความพร้อมแก้ไขปัญหาไฟป่า และเปิด “ศูนย์ปฏิบัติการไฟป่าและหมอกควันภาคเหนือ” อย่างเป็นทางการ พร้อมมอบนโยบายและมาตรการรับมือสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง PM2.5 อย่างเข้มข้น เพื่อแสดงความพร้อมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าอย่างเป็นระบบและยั่งยืน โดยเน้นย้ำการบูรณาการทุกภาคส่วน และตั้งเป้าลดพื้นที่ไฟไหม้กว่าร้อยละ 40
การประชุมติดตามและมอบนโยบายการประชุมครั้งนี้จัดขึ้น ณ ศูนย์ปฏิบัติการไฟป่าเชียงใหม่ ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ โดยมี ดร.ชญานันท์ ภักดีจิตต์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช, นายนิกร ศิรโรจนานนท์ รองปลัดกระทรวงฯ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมป่าไม้, นายวีระ ขุนไชยรักษ์ รองอธิบดีกรมอุทยานฯ, นายนฤพนธ์ ทิพย์มณฑา ผู้อำนวยการสำนักป้องกันปราบปรามและควบคุมไฟป่า, นายกริชสยาม คงสตรี ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 (เชียงใหม่), รวมถึงประชุมผ่านระบบ Video Conference กับผู้ว่าราชการจังหวัด 20 จังหวัด หน่วยงานในสังกัด ทส. และผู้แทนจากภาคประชาสังคม เช่น กลุ่มสภาลมหายใจภาคเหนือ เข้าร่วมประชุม
นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกฯ และ รมว.ทส. กล่าวว่า รัฐบาลและคณะรัฐมนตรีตระหนักถึงความรุนแรงและความซับซ้อนของปัญหาหมอกควันและไฟป่า ซึ่งเกิดจากหลายองค์ประกอบและหลายภาคส่วน วัตถุประสงค์หลักของการมาในครั้งนี้คือ “มารับฟังอย่างตั้งใจ” เพื่อรวบรวมข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนและเป็นข้อมูลจากผู้ที่ได้รับผลกระทบจริง ก่อนนำไปสู่การตัดสินใจเชิงนโยบายและผลักดันต่อในระดับคณะรัฐมนตรี
รองนายกรัฐมนตรีฯ ได้มอบนโยบายสำคัญและระบุว่า จะนำไปผลักดันต่อในระดับ ครม. โดยมีประเด็นสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการ ได้แก่ ด้านสวัสดิการและขวัญกำลังใจเจ้าหน้าที่ เน้นย้ำการดูแลสวัสดิการและค่าตอบแทนที่เหมาะสมให้กับเจ้าหน้าที่ชุดพิทักษ์ป่าและดับไฟป่า ที่เสียสละปฏิบัติหน้าที่อย่างหนัก โดยเฉพาะเรื่องสวัสดิการที่ยังต้องหาแนวทางปรับปรุงเพิ่มเติม, ด้านความพร้อมด้านอุปกรณ์ ให้พิจารณาความต้องการด้านอุปกรณ์และเครื่องมือดับไฟป่าอย่างเร่งด่วน หากไม่เพียงพอ จะพิจารณาจัดหาเพิ่มเติมหรือขอรับการสนับสนุนจากหน่วยงานอื่น, ความชัดเจนการบริหารงบประมาณจะเร่งผลักดันให้เกิดความชัดเจนในการจัดสรรงบประมาณ (งบกลาง) เพื่อแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่า เพื่อให้งบประมาณกระจายถึงพื้นที่และกลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการสนับสนุนข้อมูลที่ได้รับจากทุกภาคส่วนในวันนี้ รวมถึงข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และข้อมูลจากชุมชนท้องถิ่น จะถูกนำไปประมวลผลและนำกลับไปแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้การประชุมครั้งนี้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน
นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กล่าวว่า สถานการณ์ไฟป่ามีความซับซ้อนและยังคงมีจุดที่เราต้องพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งอย่างต่อเนื่อง แต่ภายหลังจากการรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชนและภาคประชาสังคมอย่างจริงจัง ทำให้การดำเนินงานในปีนี้มีการพัฒนาและเข้มข้นมากขึ้น โดยเฉพาะในด้านการบูรณาการการทำงานร่วมกัน ปัจจุบันเราได้รวมพลังจากทุกภาคส่วนเข้ามาบริหารจัดการร่วมกันอย่างเป็นระบบ ทั้งกรมอุทยานแห่งชาติฯ กรมป่าไม้ หน่วยงานท้องถิ่น และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยกำหนดพื้นที่กลุ่มป่าที่ต้องเฝ้าระวังและบริหารจัดการอย่างเข้มข้น รวมทั้งสิ้นประมาณ 44 ล้านไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่เป้าหมายสำคัญที่เกิดไฟป่าซ้ำซากและค่อนข้างรุนแรงทุกปี โดยเฉพาะกลุ่มป่าในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ (3 กลุ่มป่า) และกลุ่มป่าแม่ยมที่จังหวัดแพร่ รวมถึงพื้นที่จังหวัดภาคกลางและภาคตะวันออก ในส่วนของการบริหารจัดการในระดับพื้นที่ ผู้ว่าราชการจังหวัดจะทำหน้าที่เป็น ศูนย์บัญชาการเดียว (Single Command) เพื่อให้เกิดการบูรณาการและสั่งการที่เป็นเอกภาพมากยิ่งขึ้นเทคโนโลยีและการปฏิบัติเชิงรุก มีปฏิบัติเฝ้าระวังด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ใช้การแจ้งเตือนจากจุดความร้อน (Hotspot) ด้วยดาวเทียม ซึ่งปัจจุบันสามารถพัฒนาให้มีความรวดเร็วในการแจ้งเตือนได้ภายใน 45 นาที (ดีกว่าเดิมมาก จากเดิมที่ต้องใช้เวลา 6 ชั่วโมง) มีการจ้างพี่น้องประชาชนประจำจุดเฝ้าระวังที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ 3,895 จุด เพื่อใช้การเฝ้าระวังด้วยตาเปล่า ซึ่งมีประสิทธิภาพในการตรวจหาและเข้าถึงพื้นที่ได้อย่างรวดเร็วการสนับสนุนการปฏิบัติงานมีการใช้โดรน (Drone/UAV) ในการลำเลียงเสบียงให้กับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่สูงชันและเข้าถึงยาก มาตรการเชิงรุกและการบังคับใช้กฎหมายดำเนินการควบคู่ไปกับการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด โดยร่วมกับกองทัพภาค (อาทิ กองทัพภาคที่ 3) ดำเนินการในรูปแบบ “เคาะประตูบ้าน” เข้าไปในหมู่บ้านเป้าหมายที่มีความล่อแหลมต่อการลักลอบจุดไฟป่า สถิติการดำเนินคดี (ปีที่ผ่านมา) สามารถควบคุมผู้กระทำผิดได้ 71 คดี มีผู้ต้องหา 28 ราย จากพื้นที่เสียหายประมาณ 2,800 ไร่ เป้าหมายปี 2569 กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนคือ การลดพื้นที่ที่เกิดไฟไหม้ให้ได้มากกว่า 40% จากค่าเฉลี่ย ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะสามารถบรรลุผลได้ โดยอาศัยบทเรียนจากความสำเร็จในปีที่ผ่านมา
จากนั้น นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกฯ ได้เป็นประธานเปิดศูนย์ปฏิบัติการไฟป่าและหมอกควันภาคเหนือ ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นศูนย์บัญชาการ (War Room) ที่สามารถบูรณาการข้อมูลและสั่งการได้แบบเรียลไทม์ (Real Time) รวมถึงระบบเตือนภัยล่วงหน้าที่ทันสมัย พร้อมได้เป็นสักขีพยานการมอบอุปกรณ์ดับไฟป่าแก่เจ้าหน้าที่ชุดดับไฟป่า และมอบโอวาท ตลอดจนให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน ตรวจเยี่ยมกำลังพล ชมนิทรรศการ และฐานการสาธิตการฝึกของชุดดับไฟ
รองนายกฯ กล่าวให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ “รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้มีโอกาสมาพบปะพี่น้องเจ้าหน้าที่ทุกท่านในวันนี้ ท่านทั้งหลายคือกำลังสำคัญในการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า ซึ่งเป็นภารกิจที่ท้าทายและมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประเทศชาติและประชาชน ต้องชื่นชมและขอขอบคุณทุกท่าน สำหรับความเสียสละ ความมุ่งมั่น และความทุ่มเท ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างไม่ย่อท้อในสภาวะที่ยากลำบากและเสี่ยงภัยอันตราย เพื่อปกป้องทรัพยากรป่าไม้อันเป็นมรดกของชาติ และเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของพี่น้องประชาชน สำหรับปี 2569 ที่กำลังจะมาถึงนี้ รัฐบาลภายใต้การนำของท่านนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาไฟป่าเป็นวาระเร่งด่วน รัฐบาลได้เตรียมความพร้อมในหลากหลายมิติ เพื่อสนับสนุนการทำงานของท่านอย่างเต็มที่”
การเตรียมความพร้อมในหลากหลายมิติ ได้แก่ การยกระดับบุคลากร โดยการพัฒนาศักยภาพของเจ้าหน้าที่อย่างต่อเนื่อง, การจัดหาอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่ทันสมัย และนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์พร้อมการบูรณาการความร่วมมือ เน้นการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานต่างๆ ทั้งในและนอกกระทรวงอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเน้น 3 ประเด็นสำคัญในการปฏิบัติหน้าที่ โดยความปลอดภัยต้องมาเป็นอันดับแรก ความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ขอให้ทุกท่านระลึกถึงเรื่องนี้อยู่เสมอ, การทำงานเป็นทีมและการประสานงาน ต้องมีการทำงานร่วมกันอย่างเป็นทีม มีการรับฟัง และเคารพการตัดสินใจของผู้บังคับบัญชาเป็นสำคัญ ในการแก้ไขปัญหาไฟป่าจะประสบความสำเร็จได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนและผู้นำชุมชน จึงขอให้ทุกหน่วยงานทำงานร่วมกับชุมชนอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง “กระผมขอยืนยันว่า รัฐบาลพร้อมสนับสนุนการทำงานของทุกท่านอย่างเต็มที่ ทั้งในด้านงบประมาณ เทคโนโลยี และการพัฒนาบุคลากร โดยเฉพาะอย่างยิ่งสวัสดิการ สำหรับเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าที่ต้องเสียสละและเผชิญกับความเสี่ยงภัย กระผมได้หารือกับปลัดกระทรวงและอธิบดีที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางช่วยเหลือและปรับปรุงสวัสดิการให้กับครอบครัวของท่านที่มีรายได้น้อยและไม่เพียงพอต่อไป”
นายสุชาติ ยังย้ำว่า “ภารกิจของเจ้าหน้าที่ไม่ได้มีเพียงแค่การพิทักษ์และรักษาป่าเท่านั้น แต่ยังเป็นกำลังหลักในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในยามวิกฤตอื่นๆ เช่น ภัยพิบัติและอุทกภัย ซึ่งท่านไม่ได้ “ปิดทองหลังพระ” เพราะผู้บริหารและรัฐบาลเห็นความทุ่มเท ความสามารถ และความแข็งแกร่งของท่านทั้งหมด กระผมจะนำข้อมูลและผลการปฏิบัติงานอันน่าชื่นชมของท่านไปนำเสนอต่อท่านนายกรัฐมนตรีและเผยแพร่ผ่านสื่อต่างๆ เพื่อให้พี่น้องประชาชนทั่วประเทศได้ประจักษ์ถึงความเสียสละของเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าอย่างแท้จริง”
รมว.ทส. กล่าวทิ้งท้ายว่า “สุดท้ายนี้ ในวันนี้เราทุกคนต่างมาร่วมให้กำลังใจ และมาเพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ฤดูหนาว ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดไฟป่าได้ง่ายขึ้น ขอให้ทุกท่านจงเตรียมความพร้อม รักษาสถิติการทำงานที่ดี และตั้งเป้าหมายลดการเกิดไฟป่าให้ลดลงไปอีก กระผมเชื่อมั่นว่า ด้วยความร่วมมือร่วมใจของเราทุกคน ประเทศไทยจะสามารถก้าวข้ามวิกฤตไฟป่าและหมอกควันไปได้อย่างยั่งยืน”