• ส่วนประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ • สำนักบริหารงานกลาง กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

รองนายกฯ สุชาติ ขับเคลื่อนร่วมคณะกรรมาธิการฯ แก้ไขปัญหาช้างป่าเดินหน้า 5 มาตรการหลัก ครอบคลุมการเยียวยา ปรับปรุงกฎหมาย และควบคุมประชากร

วันที่ 31 ตุลาคม 2568 นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) พร้อมด้วย ดร.ชญานันท์ ภักดีจิตต์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ให้การต้อนรับ นายอนันต์ ปรีดาสุทธิจิตต์ รองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาติดตามผลการดำเนินงานและศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาช้างป่าอย่างยั่งยืน สภาผู้แทนราษฎร พร้อมคณะ ณ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในโอกาสเข้าพบเพื่อหารือและรับฟังข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหาช้างป่าอย่างยั่งยืน และมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ

นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเน้นย้ำว่า การแก้ไขปัญหาช้างป่าถือเป็นวาระสำคัญของรัฐบาลที่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน โดยมีเป้าหมายหลักในการสร้างสมดุลที่ยั่งยืนระหว่างการอนุรักษ์สัตว์ป่ากับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รัฐบาลให้ความสำคัญกับการบูรณาการงานทุกระดับ ตั้งแต่การวางแผนเชิงพื้นที่ไปจนถึงการผลักดันด้านกฎหมาย เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้รับความช่วยเหลืออย่างทั่วถึงและเป็นธรรมที่สุด

ปัจจุบันประเทศไทยมีช้างป่าอาศัยอยู่ตามธรรมชาติประมาณ 4,200-4,700 ตัว กระจายอยู่ในพื้นที่อนุรักษ์ 70 แห่ง โดยเฉพาะ 5 กลุ่มป่าที่มีปัญหาอย่างรุนแรง ได้แก่ กลุ่มป่าตะวันตก ตะวันออก ดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ภูเขียว-น้ำหนาว และแก่งกระจาน แม้ว่าสถิติในปีงบประมาณ 2564 จะแสดงให้เห็นว่าอัตราการเสียชีวิตและบาดเจ็บของประชาชนลดลง แต่ความเสียหายต่อพืชผลทางการเกษตรและทรัพย์สินยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไข คณะกรรมาธิการฯ ได้ตระหนักถึงความท้าทายนี้ และได้จัดทำข้อเสนอแนะ 5 มาตรการสำคัญ เพื่อนำเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการ ทส. ประกอบด้วย

1.เห็นควรพิจารณาเร่งรัด และกระชับขั้นตอนในการช่วยเหลือเยียวยาประชาชน ตามระเบียบกรมอุทยานฯ ว่าด้วยการจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาจากงบกลาง พ.ศ. 2568 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
2. เห็นควรพัฒนาพื้นที่ที่มีช้างป่าให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ โดยการพัฒนาพื้นที่ ปรับทัศนียภาพ และระบบสาธารณูปโภคให้เหมาะสมต่อการเป็นแหล่งท่องเที่ยวแบบชมสัตว์ป่าในธรรมชาติ (Safari)
3. เสนอร่างการรับบริจาคเงินเพื่อการลดหย่อนภาษีเงินได้ สร้างแหล่งเงินทุนที่ยั่งยืน ในส่วนของช้างป่า และขอให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พิจารณาประสานงาน หารือความเป็นไปได้ในการเสนอร่างรับบริจาคเงิน (ช้างพาหนะหรือช้างบ้าน) เพื่อให้สามารถลดหย่อนภาษีเงินได้ เป็นแนวทางเดียวกัน
4. ศึกษารูปแบบ Barrier ที่เหมาะสม และมีประสิทธิภาพ ต่อการป้องกันช้างป่าออกนอกพื้นที่ ซึ่งเบื้องต้นได้เสนอ Barrier ของกรมทางหลวงไว้

5. เห็นควรเร่งรัดดำเนินการ ศึกษา ติดตามผลประสิทธิภาพของวัคซีนควบคุมประชากรช้างป่า

นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานฯ กล่าวว่า กรมฯ ได้รับข้อเสนอแนะทั้งหมด และได้ดำเนินการเชิงรุกเพื่อตอบรับความเร่งด่วน โดยได้จัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากช้างป่า และสำนักอนุรักษ์ช้างป่า เพื่อเป็นกลไกหลักในการวิเคราะห์และกำหนดมาตรการเชิงยุทธศาสตร์ พร้อมทั้งเร่งรัดการจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาตามระเบียบที่ประกาศใช้

กรมอุทยานฯ ได้จัดทำแผนปฏิบัติการแห่งชาติ พ.ศ. 2564-2572 โดยมี 10 แนวทางหลักที่ครอบคลุมตั้งแต่การเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน, การจัดการพื้นที่รองรับและถิ่นอาศัย, การยกระดับระบบป้องกัน/แจ้งเตือน, ไปจนถึงการศึกษาวิจัยและควบคุมประชากรช้างป่า

สำหรับการดำเนินงานเร่งด่วน (โครงการ Quick Win) ที่จะดำเนินการโดยทันที ประกอบด้วย การฟื้นฟูที่อยู่อาศัยช้างป่า อาทิ การปรับปรุงทุ่งหญ้า พืชอาหารสัตว์ จัดทำแหล่งน้ำและโป่งเทียม, การเพิ่มจำนวนชุดเฝ้าระวังและผลักดันช้างป่า พร้อมอุปกรณ์และสวัสดิการที่เหมาะสม, การพัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้า (SMART Early Warning System) ด้วยเทคโนโลยี AI, แอปพลิเคชัน, และ SMS แจ้งเตือน, การพัฒนาระบบช่วยเหลือแบบ One Stop Services เพื่อลดขั้นตอนและเพิ่มความรวดเร็วในการช่วยเหลือ

ทั้งนี้ กรมอุทยานฯ ได้รับอนุมัติงบประมาณปี 2569 จากงบกลาง 595,792,460 บาท ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานหลัก อาทิ การจัดตั้งชุดเคลื่อนที่เร่งเฝ้าระวัง 105 ชุด (306.012 ล้านบาท), การก่อสร้างศูนย์ปรับพฤติกรรมช้างป่า 21 คอก (181.2 ล้านบาท), กิจกรรมเพิ่มประสิทธิภาพการเคลื่อนย้ายและให้วัคซีนคุมกำเนิดช้างป่า (2.7 ล้านบาท) กิจกรรมจัดตั้งเครือข่ายเฝ้าระวังช้างและสัตว์ป่าออกนอกพื้นที่อนุรักษ์ จำนวน 239 เครือข่าย (11.95 ล้านบาท), ฝึกอบรมทบทวนสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับเจ้าหน้าที่และเครือข่ายเฝ้าระวังช้างป่าและสัตว์ป่าออกนอกพื้นที่อนุรักษ์ เจ้าหน้าที่ 43 รุ่น เครือข่าย 73 รุ่น (7.9 ล้านบาท), การจัดซื้อรถปฏิบัติการและรถเคลื่อนย้ายช้างป่า (2.7 ล้านบาท), การเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมสถานการณ์ด้วยรถปฏิบัติการเฝ้าระวังและผลักดันช้างป่า จำนวน 5 คัน (26 ล้านบาท) และการเพิ่มประสิทธิภาพการเคลื่อนย้ายช้างด้วยรถเคลื่อนย้ายช้างป่า จำนวน 4 คัน (60 ล้านบาท) รวมถึงการดำเนินการในพื้นที่กลุ่มป่าตะวันออก ซึ่งเป็นพื้นที่นำร่อง โดยได้ดำเนินการปลูกพืชอาหารสัตว์ป่ามากกว่า 2,100 ไร่ และปรับปรุงทุ่งหญ้ากว่า 11,600 ไร่ พร้อมติดตั้งระบบเตือนภัยล่วงหน้าในพื้นที่เสี่ยงแล้ว

นอกจากนี้ กรมอุทยานฯ อยู่ในระหว่างดำเนินการยื่นของบกลาง ปี พ.ศ. 2569 จำนวน 10 ล้านบาท เพื่อเป็นเงินช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากช้างป่า

การดำเนินการตามข้อเสนอแนะและแผนงานทั้งหมดนี้ มีเป้าหมายสูงสุดคือการสร้างรูปแบบการจัดการปัญหาช้างป่าที่ยั่งยืน ลดความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ และสร้างความสมดุลระหว่างการอนุรักษ์ช้างป่ากับการดำรงชีวิตของชุมชนอย่างเป็นธรรม โดยอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด