วันที่ 6 สิงหาคม 2568 พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา องคมนตรี เดินทางไปปฏิบัติภารกิจในจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานโครงการพัฒนาชุมชนของมูลนิธิภูบดินทร์ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยได้เป็นประธานการประชุมมอบทุนการศึกษาแก่ครู และเยี่ยมชมโรงเรียนในโครงการกองทุนการศึกษาฯ
ในการนี้ นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พร้อมด้วย นายชุติเดช กมนณชนุตม์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) และคณะได้ร่วมตรวจเยี่ยมพื้นที่โครงการพัฒนาชุมชน ในพื้นที่โรงเรียนกองม่องทะ สาขาสาละวะ ซึ่งประกอบด้วยแปลงนารวมและแปลงปลูกอะโวคาโด รวมถึงแปลงที่ดินในความร่วมมือกับมูลนิธิฯ
การจัดการพื้นที่แปลงนารวม นับเป็นแนวคิดใหม่ในการพัฒนาเกษตรกรรมชุมชนอย่างยั่งยืน โดยเป็นการรวมพื้นที่เกษตรของสมาชิกชุมชนที่มีพื้นที่เกินความต้องการส่วนตัว มาจัดตั้งเป็นแปลงการเกษตรร่วมของชุมชน เพื่อทำการเกษตรแบบใหม่ที่เน้นการมีส่วนร่วมและการสร้างรายได้ประจำให้กับสมาชิกทุกคนในชุมชน โดยใช้เทคนิคการเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และมีการแบ่งปันผลผลิตและรายได้อย่างเป็นธรรม ทำให้ครอบครัวที่ไม่มีที่ดินเป็นของตนเองก็สามารถมีรายได้จากการเกษตรได้ ซึ่งช่วยลดความเหลื่อมล้ำในชุมชนและสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจให้กับชุมชนโดยรวม เป็นต้นแบบของการปรับโครงสร้างที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้จัดตั้งหน่วยพัฒนาชุมชนในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ของกรมอุทยานแห่งชาติฯ ตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
จากนั้นท่านองคมนตรี ได้เดินทางต่อไปยังโรงเรียนกองม่องทะ สาขาไล่โว่ เพื่อติดตามความคืบหน้างานพัฒนาเส้นทางสัญจรและตรวจเยี่ยมแปลงที่ดินอีกหลายแปลง ก่อนจะไปประชุมครูต่อที่โรงเรียนอุดมสิทธิศึกษา
กรมอุทยานฯ มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนภารกิจของมูลนิธิภูบดินทร์ฯ ซึ่งมุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ห่างไกล โดยเน้นการพัฒนาที่ยั่งยืนควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะในพื้นที่สำคัญอย่างเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก ซึ่งเป็นพื้นที่มรดกโลก ที่ผ่านมากรมอุทยานฯ ได้ให้การสนับสนุนการพัฒนาชุมชนอย่างต่อเนื่อง โดยการจัดตั้งศูนย์ประสานงานพัฒนาป่าไม้และชุมชนฯ เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2566 เพื่อเป็นศูนย์กลางประสานงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ และจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับการปลูกป่า การจัดการต้นน้ำ และการป้องกันไฟป่า ตลอดจนมีการพัฒนาพื้นที่ดำเนินการตามแนวพระราชดำริ “ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง” โดยมีการดำเนินงานครอบคลุม 6 ด้านหลัก ได้แก่ การคมนาคม สาธารณูปโภค สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ การศึกษา และสาธารณสุข
ด้านการจัดการพื้นที่กรมอุทยานฯ ได้มีการจัดทำ MOU กับราษฎรในพื้นที่ภายใต้มาตรา 121 แห่ง พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 จัดสรรพื้นที่ทำกินรายละไม่เกิน 20 ไร่ มีผู้เข้าร่วมที่บ้านสาละวะ 111 ราย และบ้านไล่โว่ 113 ราย นอกจากนี้ ยังได้ส่งเสริมวิถีชีวิตที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ แนะนำการใช้ทรัพยากรป่าไม้อย่างถูกวิธี และการร่วมมือกับหน่วยงานอื่นในการพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐาน อาทิ โครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Home) เพื่อให้การดำเนินงานของมูลนิธิฯ เป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎระเบียบและกฎหมาย ที่อยู่ภายใต้การดูแลของกรมอุทยานฯ สอดคล้องกับการอนุรักษ์และพัฒนาอย่างยั่งยืน.