• ส่วนประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ • สำนักบริหารงานกลาง กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

ปฏิบัติการสู้ไฟเวียงโกศัย: เบื้องหลังความเหนื่อยยากของนักรบแนวหน้าผู้พิทักษ์ผืนป่า

ท่ามกลางแดดร้อนแผดเผาของต้นเดือนมีนาคม 2568 ขณะที่หลายคนกำลังพักผ่อนในวันหยุดสุดสัปดาห์ แต่ที่อุทยานแห่งชาติเวียงโกศัย จังหวัดลำปาง กลับมีนักรบแนวหน้ากลุ่มหนึ่งกำลังเผชิญกับความท้าทายอันแสนสาหัส พวกเขาคือ “คนสู้ไฟเวียงโกศัย” ผู้ซึ่งต้องเผชิญกับเปลวเพลิงที่กำลังคุกคามผืนป่า

นายประวิทย์​ ใจคำ​ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเวียงโกศัยเปิดเผยว่า วันที่ 9 มีนาคม 2568 เวลา 08.00-14.00 น. นับเป็นช่วงอีกเวลาแห่งการต่อสู้อันหนักหน่วงของเจ้าหน้าที่จากหลายหน่วยงาน ทั้งเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเวียงโกศัย ราษฎรอาสาสมัครประจำจุดเฝ้าระวังไฟป่า เจ้าหน้าที่จากสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดลำปาง และเจ้าหน้าที่จากสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 3 (ลำปาง) รวมกำลังกันเข้าสู้ไฟป่าที่ลุกไหม้ถึง 3 จุดด้วยกัน

จุดแรก ที่ป่าลำห้วยเกี๋ยง ท้องที่บ้านด่าน หมู่ที่ 2 ตำบลสันดอนแก้ว อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง แม้จะเป็นพื้นที่นอกเขตอุทยานฯ ที่พิกัด 47 Q 0554635E 1987987N แต่เจ้าหน้าที่สายตรวจส่วนกลางอุทยานแห่งชาติเวียงโกศัย พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติฯ ทั้งจากหน่วย วศ.1 (แม่แขม) วศ.5 (สบปราบ) และ วศ.6 (ขุนห้วย) รวม 13 นาย ต้องลุยดงไฟที่ลุกโชนด้วยอุณหภูมิกว่า 40 องศา ท่ามกลางพื้นที่จำกัดและเส้นทางเข้าถึงยาก​ ขณะที่เข้าไปถึงจุดเกิดเหตุ เปลวไฟกำลังลุกลามกินเนื้อที่ไปเรื่อยๆ ความร้อนและควันไฟทำให้หายใจลำบาก แต่ทุกคนไม่มีทางเลือก ต้องฝ่าเข้าไปให้ถึงจุดต้นเพลิง​ เพื่อร่วมกันดับไฟในพื้นที่ดังกล่าว

ไม่ไกลกันนัก ที่ป่าลำห้วยแม่วะ ในพิกัด 47 Q 0555546 E 1988109 N ซึ่งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเวียงโกศัย อีกหนึ่งทีมงานจำนวน 10 นาย ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติฯ ที่ วศ.3 (แม่อิบ) วศ.4 (สมัย) พร้อมด้วยราษฎรจิตอาสาประจำจุดเฝ้าระวังไฟป่าบ้านด่านและบ้านแม่อิบ กำลังต่อสู้กับเปลวเพลิงที่กำลังคุกคามพื้นที่ป่าที่อุดมสมบูรณ์ การปีนป่ายเขาสูงชันเพื่อเข้าถึงจุดเกิดเหตุทำให้หลายคนเริ่มแสดงอาการเหนื่อยล้า แต่ภารกิจสำคัญทำให้พวกเขาต้องฝืนสู้ต่อไป​ บางครั้งเจ้าหน้าที่ต้องแบกอุปกรณ์หนักขึ้นเขาไกลเป็นกิโลเมตร ทั้งเครื่องเป่าลมดับไฟ ถังน้ำ และเครื่องมือต่างๆ แต่เมื่อเห็นป่าที่กำลังถูกทำลายยิ่งให้ทุดคนมีแรงฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้ง​ นับเป็นความเสียสละอันยิ่งใหญ่ของทุกคน​

ที่น่าชื่นชมอีกจุด​ คือ​จุดที่ 3 ที่ป่าลำห้วยแม่สัก บ้านอ้อ หมู่ที่ 6 ตำบลสันดอนแก้ว ในพิกัด 47Q 0556425E 1988772N ภายในเขตอุทยานแห่งชาติเวียงโกศัย กลุ่มเล็กๆ เพียง 5 นาย ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติฯ ที่ วศ.3 (แม่อิบ) และราษฎรประจำจุดเฝ้าระวังบ้านอ้อ ต้องเผชิญกับสถานการณ์ไฟป่าที่ลุกลามในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งความท้าทายทวีคูณด้วยจำนวนคนที่น้อย แต่ด้วยประสบการณ์และความชำนาญ ทำให้พวกเขาสามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ​ ทุกคนแทบไม่มีเวลาพัก ต้องคอยสับเปลี่ยนกันตลอด บางครั้งแค่การดื่มน้ำสักอึกก็เป็นเรื่องยาก เพราะต้องคอยระวังไฟลุกลามกลับมา นี่คือความยากลำบากที่ทุกคนต้องเผชิญ

ในการปฏิบัติการครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนอากาศยานปีกหมุน (เฮลิคอปเตอร์) หมายเลขเครื่อง 5119 จากกองการบิน สำนักปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม บินขึ้นลงถึง 25 เที่ยว นำน้ำกว่า 12,500 ลิตร มาช่วยดับไฟจากทางอากาศ ซึ่งเป็นการทำงานประสานกันระหว่างหน่วยดับไฟภาคพื้นดินและทางอากาศ สร้างความหวังให้กับผู้ปฏิบัติงานภาคพื้นที่กำลังเหน็ดเหนื่อย

หลังจากการต่อสู้อย่างหนักเป็นเวลากว่า 6 ชั่วโมง ทั้งสามทีมสามารถควบคุมไฟป่าได้ทั้งหมด นับเป็นความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจ แต่ภารกิจยังไม่จบเพียงเท่านี้ อุทยานแห่งชาติเวียงโกศัยยังคงจัดกำลังเจ้าหน้าที่ตรึงกำลังในพื้นที่เพื่อเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง เพราะในช่วงหน้าแล้งเช่นนี้ ไฟป่าอาจกลับมาลุกไหม้ได้อีกทุกเมื่อ

เบื้องหลังความสำเร็จของการดับไฟป่าคือ ความเสียสละของเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครทุกนาย ที่ต้องเผชิญกับความเหนื่อยล้า ความร้อน ควันไฟ อันตรายจากสัตว์ป่าและแมลงมีพิษ รวมถึงความเสี่ยงจากการพลัดตกในพื้นที่สูงชัน แต่พวกเขาเลือกที่จะเผชิญความเสี่ยงเหล่านี้เพื่อปกป้องผืนป่าและชุมชนโดยรอบ

“มือที่ดำเปื้อนเขม่า ร่างกายที่เหนื่อยล้า และรอยแผลจากการทำงานคือเครื่องหมายแห่งความภาคภูมิใจ เพราะทุกคนรู้ว่าสิ่งที่เราทำนั้นมีคุณค่า พวกเขาไม่ได้ปกป้องแค่ต้นไม้ แต่ทำเพื่อปกป้องบ้านของสัตว์นานาชนิด ปกป้องแหล่งต้นน้ำ และปกป้องอนาคตของลูกหลานของเรา” นายประวิทย์​ กล่าว​

ขอคารวะนักรบผู้ไม่เคยย่อท้อ “คนสู้ไฟเวียงโกศัย” ผู้ซึ่งยืนหยัดต่อสู้กับภัยพิบัติไฟป่าด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง และความมุ่งมั่นที่จะรักษาทรัพยากรธรรมชาติอันล้ำค่าของประเทศไทยให้คงอยู่สืบไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด