นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้สั่งการให้หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ขยายแนวลาดตระเวนเชิงคุณภาพด้วยระบบ Smart Patrol ออกไปยังพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติและพื้นที่รอยต่อ (Buffer Zone) โดยเน้นการป้องปรามการลักลอบวางกับดักและล่าสัตว์ป่า รวมถึงสั่งให้มีการเคาะประตูบ้านเพื่อขอความร่วมมือจากชาวบ้านให้ช่วยกันเฝ้าระวังและห้ามวางกับดักสัตว์ป่า
อธิบดีกรมอุทยานฯ กล่าวว่า นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มีนโยบายให้เร่งป้องกันการล่าสัตว์ป่า โดยเฉพาะในพื้นที่ที่สัตว์ป่าใช้เป็นเส้นทางหากิน ซึ่งอาจตกเป็นเป้าหมายได้ง่าย จึงต้องเพิ่มมาตรการป้องกันให้ครอบคลุมพื้นที่ที่อยู่นอกเขตอนุรักษ์ เพื่อคุ้มครองสัตว์ป่าหายากให้ปลอดภัย
สำหรับ “สรณ์สืบ” เสือโคร่งอายุ 3 ปี 3 เดือน ถูกใส่ปลอกคอดาวเทียมครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 ก.ย. 2566 เพื่อติดตามพฤติกรรม แต่ปลอกคอทำงานได้เพียงประมาณหนึ่งเดือน เนื่องจากระบบดาวเทียม Iridium มีปัญหา ทีมวิจัยจึงเปลี่ยนมาใช้การติดตามด้วยสัญญาณวิทยุ VHF และติดตั้งกล้องดักถ่ายในพื้นที่ห้วยขาแข้งตอนกลางแทน
อย่างไรก็ตาม ในช่วง ก.ค. – ส.ค.2568 ทีมงานไม่ได้รับสัญญาณจากปลอกคอและไม่พบว่า “สรณ์สืบ” ผ่านกล้องดักถ่าย จนกระทั่งเดือน ก.ย. 2568 ทางอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ได้แจ้งว่า มีภาพเสือโคร่งใส่ปลอกคอผ่านกล้องดักถ่าย ซึ่งยืนยันว่าเป็น “สรณ์สืบ” โดยภาพสุดท้ายที่ถ่ายได้ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งคือวันที่ 8 ก.ค. 2568 ใกล้กับซากวัวแดงที่สรณ์สืบล่าได้
สัญญาณสุดท้ายจากปลอกคอดาวเทียมแจ้งเตือนเมื่อวันที่ 23 ก.ย. 2568 ซึ่งทีมงานได้เข้าตรวจสอบในวันที่ 1 ต.ค. 2568 ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่วงก์-แม่เปิน อ.แม่เปิน จ.นครสวรรค์ ซึ่งอยู่นอกพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง และอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ แต่พบเพียงปลอกคอและชิ้นส่วนกระดูกของ “สรณ์สืบ” พร้อมกับหลักฐานสำคัญที่สันนิษฐานถึงสาเหตุการตาย นั่นคือรอยหลุมขนาดใหญ่ที่เชื่อว่าเป็นหลุมดักแร้วกลางท้องห้วย ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากจุดที่พบปลอกคอ
ทั้งนี้ กรมอุทยานฯ จะได้เพิ่มมาตรการป้องกันให้ครอบคลุมพื้นที่ที่อยู่นอกเขตอนุรักษ์อย่างเป็นระบบ เพื่อคุ้มครองสัตว์ป่าหายากให้ปลอดภัยในถิ่นที่อยู่ตามธรรมชาติ พร้อมกันนี้ จะเร่งดำเนินการสืบสวนและดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดเพื่อนำตัวมาลงโทษตามกฎหมายให้ถึงที่สุด รวมถึงการสร้างความเข้าใจและขอความร่วมมือจากชุมชนในพื้นที่ใกล้เคียงให้ช่วยเป็นหูเป็นตา เพื่อไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก.